แม้กระนั้นก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ Pinocchio ในเวอร์ชั่นนี้ยังไม่ค่อยรู้สึกเชื่อฟังและก็ต้องใจได้สักเท่าไหร่นัก ซึ่งก็คือความเป็นมิวสิคัลในหนังประเด็นนี้ ที่เพลงแต่ละเพลงที่จะต้องสารภาพว่าไม่กลมกล่อมละมุนละไมสักเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นดิสนีย์ทำ ที่มีเพลงที่ได้อรรถรสได้มากกว่า แม้กระนั้นก็ยังดีที่เวอร์ชั่นนี้มิวสิคัลเป็นเพียงแต่ส่วนประกอบเสริมที่ใส่เข้ามาในหนังหัวข้อนี้ และก็ยังไม่ใช่จุดที่ทำลายมนต์ขลังของหนังหัวข้อนี้อะไร
เปิดตำนานบทใหม่ที่ทุ่งพระโขนงสู่เรื่องราวของเพื่อนพ้องเป็นหาง่าย เพื่อนตายหายาก รีวิวหนังใหม่ “แดงพระโขนง” โดยได้เสนอเอาการราวของตำนานนางนาคมาต่อยอด กลับมุมมองสู่เรื่องราวที่ไม่เคยบอกของ แดง ลูกชายที่รักยิ่งที่ตายไปพร้อมด้วยนางนาค นั้นเกิดเรื่องราวภายหลังจาก ที่ผีนางนาคที่ทุ่งพระโขนง โดนสมเด็จโตปราบแล้วก็ได้นำปั้นเหน่งของนางนาคไปบำเพ็ญหมั่นเพียรกับพระมากมาย
ทุ่งพระโขนงก็เลยกลับมามีความสงบสุข 10 ปีถัดมามีผีเด็กก่อกวนรังควานคนภายในทุ่งพระโขนงอีกที ประชาชนหวาดสะดุ้งว่าเป็นฝีมือของ ไอ้แดง ลูกของนางนาคที่สมเด็จโตมิได้นำร่างไปบำเพ็ญหมั่นเพียรด้วย ทำให้เกิดอาการชาวบ้านทุ่งพระโขนงหวาดสะดุ้งและก็หาทางที่จะทำให้หมู่บ้านกลับมาสุขสงบให้ได้เล่าราวต่อจากภาคแรก โดยมีความสำคัญจะต้องมองภาคแรกมาก่อนมากๆถึงจะเข้าดวงใจเรื่องราวหลายๆอย่าง ในตอนแรกจำไม่ได้แบบเดียวกันว่าตัวหนังภาคต่อนี้จะเล่าออกมาทางไหน
แต่ว่าพอใช้ดูแล้วถือได้ว่าเป็นการเลือกเดินเส้นทางที่ถูกที่ควรจะแล้วล่ะ ซึ่งในภาคนี้ Jake แล้วก็ Neytiri ก็ได้สร้างครอบครัวมีลูกร่วมกัน ดำรงชีวิตอย่างสุขสบายบนดาว Pandora แต่ว่าความสบายนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อการรุกรานจากคนบนฟ้ากลับมาอีกรอบหนังเวอร์ชั่นยังมาพร้อมกลุ่มดาราชุดใหญ่มากที่มาให้เสียงบรรยาย “ยวน แม็คเกรเกอร์”, “เดวิด กางรดลีย์”, “เกร็กกอปรี่ แมนน์” ต่อรับบทบาทหนังที่ของเขาได้ดิบได้ดีตามมาตรฐาน
หนังยังได้ “เบิร์น กอร์แมน”, “รอน เพิร์ลแมน”, “เคต กางลยเชตต์”, “ฟินน์ วูลฟ์ฮาร์ด” แล้วก็ “คริสโคนฟ วอล์ตซ์” เป็นวอยซ์ทาเลนท์ที่มาร่วมสร้างสีสันให้กับหนังหัวข้อนี้ได้อย่างดีเยี่ยมเช่นกันก็เลยเป็นที่มาสำหรับการแต่งเรื่องราวสม่ำเสมอจากภาพยนตร์เดิม เสนอมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง “แดง พระโขนง” ลูกชายคนโปรดที่ตายไปพร้อมทั้งนางนาค และก็วิญญาณได้ถูกทิ้งอย่างสันโดษในบ้านร้างใกล้กับท่าน้ำ วิญญาณของไอ้แดงยังมิได้ไปผุดมิได้ไปกำเนิด เติบโตรวมทั้งวนเวียนอยู่ในทุ่งพระโขนงเป็นบ่อยมา
เมื่อความเป็นผีเด็กคนที่ไม่เคยรังควานคนไหนกันแน่ ประชาชนในทุ่งพระโขนงก็เลยกลมเกลียวพร้อมใจเลี้ยงผีเด็กคนนี้ด้วยความเอ็นดู โดยได้แวะเวียนกันมาส่งข้าวส่งน้ำให้กับไอ้แดงอยู่ตลอดไป พร้อมด้วยปกปิดความลับเรื่องที่ไอ้แดงเป็นผี ไม่ให้ลูกๆหลานๆของพวกเขาได้ทราบ จนกระทั่งกำเนิดกระแสข่าวลือว่าผีไอ้แดงออกก่อกวนไล่รังแกคน กำเนิดเป็นความสงสัยในกรุ๊ปเด็กๆว่าเพื่อนพ้องที่เล่นร่วมกันทุกๆวันเป็นแดงเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่ ?
ตกลงว่าโดยสรุปแล้วนั้น Guillermo del Toro’s Pinocchio เป็นหนังพิน็อคคิโอเวอร์ชั่นใหม่ ที่เต็มไปด้วยไอเดียที่ไม่เหมือนกันกับเดิมอย่างยอดเยี่ยมแท้ การแปลความใหม่บางทีอาจจะเป็นความเสี่ยง แม้กระนั้นในความองอาจเสี่ยงของหนังประเด็นนี้ นับว่านำไปสุ่แนวทางที่น่าพึงพอใจ งานสร้างในแบบอย่างสตอปโมชั่นของหนังหัวข้อนี้เป็นเสน่ห์โดยแท้จริงของหนังหัวข้อนี้ ความละเอียดรอบคอบในงานสร้างเต็มไปด้วยเส่นห์
ตำนานของพิน็อคคิโอก็ยังคงเป็นนิทานเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาอย่างนาน เป็นวัตถุดิบซึ่งสามารถเอามาแต่งในรูปแบบใหม่ๆได้อย่างไม่มีขอบเขต รวมทั้งหนังเวอร์ชั่่นนี้ก็คือแบบอย่างของความกล้าหาญบียอนด์ออกไปสู่นอกกรอบเดิมๆเป็นการแต่งรสใหม่ที่มีรสชาติอร่อยอีกแบบ บางทีก็อาจจะจะต้องพูดว่า Guillermo del Toro’s Pinocchio เป็นอีกเวอร์ชั่นที่น่าจำแล้วก็ครบทุกอรรถรสในแบบที่หนังพึ่งจะมี
หากแม้ภาพยนตร์ประเด็นนี้ถึงจะเป็นการเปิดตำนานบทใหม่ แม้กระนั้นผู้ผลิตหนังประเด็นนี้ก็สามารถสื่อเรื่องราวออกมาไปด้วยบรรยากาศเก่าๆของทุ่งพระโขนงที่เชื้อเชิญให้คิดถึงทั้งยังหนังเจ้าตำนานอย่าง “นางนาค” ไม่ว่าจะฉากเปิดเรื่องที่เริ่มที่ท่าน้ำ ไปจนกระทั่งมากมายภาพจำจากหนังนางนากฉบับนนทรีย์ นิไม่ลูก ที่ แดง พระโขนง เลือกจับมาใช้เพื่อเป็นการนับถือต้นฉบับนั้นเอง
Emancipation ได้แรงดลใจผลิตขึ้นจากรูปถ่ายที่ชื่อว่า Whipped Peter ในปี 1863 ของ ปีเตอร์ ชายที่หลบซ่อนหนีออกมาจากการเป็นข้าทาสในสมัยปลดปล่อย ด้วยการใช้ความเฉลียวฉลาดรวมทั้งพลังเลื่อมใสอันแรงกล้า และก็พลังความรักที่มีต่อครอบครัวของเขา สืบเสาะหาอิสระจากนักล่าข้าทาสโหดเหี้ยมที่ไม่ยอดลดละความเพียรพยายามที่จะปล่อยให้เขาได้รับเสรีภาพที่ควรจะมี และก็ความกล้าหาญของเขาได้แวววาวไฟเล็กๆที่กระตุ้นให้เกิดการต้านทานแรงงานขี้ข้าให้แผ่กระจายไปทั่วอเมริกา
นี่ได้ผลสำเร็จงานปัจจุบันของผู้กำกับ “อองตวน ฟูคัว” จากหนังชุด The Equalizer อีกทั้ง 3 ภาค เขานับว่าเป็นนักสร้างภาพยนตร์ผิวสีที่มีฝีมือจัดจ้าไม่ธรรมดา ในตอนนี้จะต้องมาจับจับทำหนังดราม่ารายละเอียดเข้มข้น ที่เป็นการอ้างอิงจากเหตุในประวัติศาสตร์ที่ทรงอำนาจ สัมผัสได้เลยว่าเขาทุ่มเทกับหนังประเด็นนี้ออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม ละเอียดลออในขั้นตอนต่างๆสำหรับการร้อยเรียงรวมทั้งติดต่ออารมณ์ของหนัง 2 ชั่วโมงเต็มนี้ออกมาได้จัดจ้า
ในภาคแรกพวกเราได้ตื่นเต้น ตะลึงงัน กับการที่หนังพาไปยลโฉมพื้นที่ป่าของ Pandora ตะลึงงันกับฟ้า เทือกเขา พืชพันธุ์ ในภาคนี้หนังก็ยังพาพวกเราไปอัศจรรย์ใจอีกรอบในโลกที่ทะเล มอบประสบการณ์สำหรับการดูหนังอันเยี่ยมที่สุดให้พวกเราอีกที พวกเราจะได้มองเห็นโลกใต้น้ำรวมทั้งแผ่นน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สวยสดงดงามตระกาลตาไม่แพ้กันมีสัตว์ผิดตาใหม่ๆมาให้เชยชมมากยิ่งกว่าที่มองเห็นในแบบอย่างเสียอีก
เป็นมุ่งมาดไว้ภายในระดับนึงแล้วอะ แม้กระนั้นพอใช้ได้มองนี่มันเกินความคาดหมายไปอีก ให้ความรู้ความเข้าใจสึกเสมือนเด็กๆที่เคยสัมผัสอะไรที่ไม่เคยพบแล้วเป็นสุขอะ รังสฤษฏ์โลก Pandora ออกมาได้งามจริงๆเจากที่เคยอ่านบทสัมภาษณ์ของ James Cameron ที่เคยกล่าวว่าตนเองเป็นคนลุ่มหลงโลกใต้สมุทรมากมาย พอเพียงมาประเด็นนี้ทราบเลยว่าจริง!เนื่องจากกว่า 90% ของเรื่องพวกเราจะได้อยู่ในน้ำ แตะต้องน้ำกันทั้งหมด
รู้กันอยู่แล้วว่า CG เป็นจุดแข็งของ Avatar รวมทั้งในภาคนี้งานภาพโคตรงามไม่มีที่ตำหนิจริงๆเป็นการได้เสพงานภาพในหัวข้อนี้จัดว่าคุ้มมากมายๆโชคร้ายมากมายที่มิได้ไปดู IMAX เนื่องจากว่าคนมันมากไม่น้อยเลยทีเดียว เลยได้มองในโรงปกติเพียงแค่นั้น ถ้าหากคนใดได้โอกาสต้องการเสนอแนะให้มอง IMAX จริงๆย้ำอีกครั้งว่างาฟ้าพไม่มีอะไรให้ติเตียนเลย มั่นใจว่าในภาคต่อๆไปพวกเราจะได้มองเห็นในอีกหลายมุมมองความงดงามของดาว Pandora แน่ๆ
อย่างไรก็แล้วแต่แม้ละเลยตรรกะผู้แสดงที่บิดพริ้วไปบ้างนั้น สิ่งที่ผู้ผลิตได้เสนอแล้วก็สื่อออกมาเป็นหน้าที่ที่หลบซ่อนความเดียวดายของเด็กน้อยที่ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว และก็ความคร่ำครวญหาเพื่อนแท้ที่แสนดี ตรรกะที่ยากจะเห็นด้วยแลกเปลี่ยนมาด้วยข้อตกลงที่กล่าวแทนเด็กวัยรุ่นขี้เหงาที่จะต้องรอเก็บความลับเอาไว้ เพื่อรักษามิตรภาพเดียวที่เขามีอยู่ เป็นราวกับแง่คิดของ แม่นาก ใน พี่มากมาย..พระโขนง ที่จำเป็นต้องเก็บความลับของตนเองไม่ให้เพื่อนฝูงของพี่มากมายทราบดีว่าคุณตายแล้ว
างด้านเรื่องราว ก็จะต้องว่ากันตามจริงว่ามันมิได้มีอะไรแปลกใหม่ เรื่องราวมิได้สลับซับซ้อนเชิญให้คิดโน่นคิดนี่ เข้าขั้นปกติก็ว่าได้ ข้อความสำคัญบางเรื่องยังไม่หนักแน่นพอเพียง ความหนักของเรื่องสู้ภาคแรกมิได้ หรือบางทีก็อาจจะเพราะว่าเก็บไว้ภาคถัดไป รวมทั้งเนื่องจากว่านักแสดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย ก็เลยจำเป็นต้องแบ่งมาเกลี่ยบท หนังมันก็เลยเสมือนเลือกจะจุดโฟกัสที่การพัฒนาผู้แสดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วย มันก็เลยหยอดเงื่อนให้ทุกผู้แสดงเลย
เวลาเล่าก็จำต้องบาลานซ์ระหว่างการพัฒนาผู้แสดง รวมทั้งเซ็ทติ้งของโลกที่เต็มไปด้วยน้ำ มันก็เลยมีความขาดๆเกินๆอยู่บ้างทางด้านการเล่า บทนักแสดงบางตัวก็ทึ่มกระทั่งน่าอารมณ์เสียมีความรู้สึกว่าแบบ อีกละหรอและก็มีจุดเชื้อเชิญเอ๊ะนิดนึง แต่ว่าไม่ใช่ว่าพวกเรารังเกียจเรื่องราวมันนั้น เพียงแค่แอบรู้สึกว่าบทมาไปไกลกว่านี่ได้น่า นั่นแหละมันเป็นภาค 2 ด้วยเหตุว่ามันยังจำต้องเก็บอะไรไว้เล่นในภาคต่อด้วย แม้กระนั้นอย่างไรก็ดีมันเล่าออกมาได้บันเทิงใจจริงๆไม่มีจุดที่น่ารำคาญเลย มันบันเทิงใจอีกทั้งเรื่องเลย
รีวิวหนัง “Something from Tiffany’s แหวนสื่อรักสับสน”
เปลี่ยนเป็นว่าเมื่อหนังรักเบาๆย้ายมาเอาดีแปลงเป็นหนังหน้าจอเล็กเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ในแต่ละปีในตอนระยะหลังๆมานี้พวกเราได้โอกาสมองเห็นหนังรอมคอมโผล่ออกมามากมายขึ้นอย่างชัดเจน ฉายโรงก็ไม่ทำเงินมาปลดปล่อยฉายออนไลน์ดีมากยิ่งกว่า และก็นี่ก็เป็นหนังรักฟอร์มรู้จักดีอีกประเด็นที่พึ่งจะมาลงจอกับ “Something from Tiffany’s แหวนสื่อรักสับสน” หนังรักพล็อตสูตรสำเร็จที่มาพร้อมด้วยเบื้องหลังเป็นช่วงๆเทศกาลวันหยุดสุดอบอุ่นของฝั่งตะวันตก ที่ถึงจะซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้กระนั้นก็มีกิมไม่กสำหรับการร้อยเรื่องให้น่าดึงดูด
หนังจะพาพวกเราไปสลับการสรรเสริญความสวยถิ่นสมุทรของดาว Pandora รวมทั้งสลับกับฉากแอ็คชันระทึกได้อย่างพอดี บางฉากให้ความรู้ความเข้าใจสึกเสมือนมอง Terminator แล้วก็บางฉากเช่นเดียวกันกับมอง Titanic อย่างไรแบบนั้น ถึงแม้ว่าหนังจะความยาว 3 ชั่วโมงกว่า แม้กระนั้นส่วนตัวไม่เคยทราบสึกว่ามันมิได้ยาวจนถึงยืดอะไร มันมีจุดให้ตลึง อึ้ง ตะลึงงันได้อยู่เสมอ ที่สำคัญมันมีบางจุดที่ยังมีความคิดว่าหนังรีบเล่าเกินความจำเป็นด้วย และก็ยังคิดว่ายังต้องการให้มีนั่นมีนี่อยู่เยอะไปหมดเลย
แม้กระนั้นก็อีกเหมือนปกติ เนื่องจากหนังข้ารับใช้กับการใช้วิธีภาพขาว-ดำสำหรับในการเล่านั้น ไม่ใช่อะไรที่ใหม่อะไรเลย หลายๆเรื่องก็เคยใชแนวทางก่ารเล่าด้วยเคล็ดลับมาแล้วอย่างเดียวกัน ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมความไม่มีเอกลักษณ์ของ Emancipation ไปอีกจุดหนึ่ง แล้วก็ขั้นต่ำๆก็จะต้องสรรเสริญการจัดแสงสว่างของหนังเป็นอีกส่วนประกอบที่จัดว่าทำเป็นดี ยิ่งหนังจะต้องประยุกต์ใช้ร้อยเรียงเป็นหนังขาว-ดำ ในส่วนนี้จัดว่าช่วยหล้อเลี้ยงสำหรับในการติดต่ออารมณ์ของหนังได้อย่างถูกใจระดับหนึ่ง
เพียงแต่ว่าแอบเสียดายไปสักนิดสักหน่อย เนื่องจากว่าแปลงเป็นว่า Emancipation เต็มไปด้วยส่วนประกอบที่มีเพียงแต่น้ำ ชิ้นเนื้อมีไม่ค่อยมากนัก แล้วมันก็ค่อนข้างจะเข้าทางสูตรสำเร็จของหนังดราม่าเกี่ยวกับข้าทาสมากมายไปสักนิด โน่นก็เลยเป็นเหตุผลที่ว่าหนังประเด็นนี้ออกจะใช้สูตรเดิม รวมทั้งสื่ออารมณ์ออกมาเป็นหนังแนวข้ารับใช้อเมริกันแบบเดิมๆที่พวกเราต่างเคยได้เห็นแล้วก็เคยผ่านตามากันหลายเรื่องแล้ว โดยที่จังหวะของหนังนั้นก็ดำเนินตลอดไป ในแบบที่ทราบจังหวะทำนองแล้วก็แนวทางของมันได้หมด
ผลงานจากผู้กำกับ : วัชรดงษ์ ปัทมะ, เฉลิมพล ท้องฟ้าธีรวงศ์ ที่มีไอเดียสุดเฉิดฉายและก็สร้างความสนุกสนาน เอาอกเอาใจผู้ชม กับบรรยากาศ แล้วก็เค้าเรื่องที่มีทั้งยังฉากตลกโปกฮา ดราม่า รวมทั้งตื่นเต้นสยองขวัญ ในแบบอย่างของ “กิน จ๊กม๊ก” ที่เบื้องหลังมองเห็นแล้วทราบเลยว่านี่ล่ะ หนังพี่กินเขาเลย และก็ยังเป็นหนังที่โหมโรงโปรโมตว่าได้ผลสำเร็จหน้าที่ดูแลหนังเรื่องแรกของ “แจ็ค แฟนฉัน” กับเพื่อนสนิทของเขา “เอ็กซ์-วัชรดงษ์ ปัทมะ”
หนังเกี่ยวกับข้าทาสในรูปแบบนี้ เกือบจะไม่ต้องทำอะไรก็มีความทรงประสิทธิภาพอยู่ในตนเองแล้ว แล้วก็หนังประเด็นนี้ก็ใช้จุดนี้มาเป็นส่วนประกอบหลัก เพียงเป็นการส่งเสริมรวมทั้งมานะเยอะเกินไปสักนิด ทำให้อิริยาบถแล้วก็ลีลาท่าทางในหลายๆส่วนค่อนข้างจะจัดจ้าเกินความจำเป็นจนถึงไม่ค่อยอิน แต่ว่าหนังก็ยังมีส่วนประกอบงานสร้างอื่นๆมาช่วยชดเชยได้อยู่บ้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นการออกแบบมุมภาพรวมทั้งเคล็ดลับใช้สีของหนังประเด็นนี้ ที่เลือกเล่าด้วยการโทนภาพขาว-ดำสำหรับในการติดต่อเป็นหลัก
ทำให้มองเห็นถึงเรื่องจริงนั้นผ่านชีวิตของหัวหน้าฮง กับ ‘ยุยงนฮเยจิน’ ทันตแพทย์หญิงสุดเพอร์เฟกต์ที่ตกลงใจลาจากกรุงโซลมาเปิดสถานพยาบาลที่หมู่บ้านเล็กๆริมหาด ท่าเรือกงจิน ซึ่งงานทุกสิ่งที่ว่าของ ฮงดูชิกนั้นหมายความว่า ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจริงๆเนื่องจากว่าเขาสามารถจัดแจงปัญหาได้สารพันอย่าง แล้วก็แต่ละอย่างที่เขาทำยังประกันด้วยใบสุทธิวิชาชีพอีกด้วย เป็นเฮียเอ็งไม่ธรรมดา คนจริงไม่ไก่กา อ่านมาถึงที่ตรงนี้ก็จะทราบว่าทั้งคู่คนนั้นมีความไม่เหมือนกันมากมายๆ
ตอนที่ทางด้านการแสดง วิล สมิธ ก็ยังคงปฏิบัติภารกิจของเขาได้ดีเยี่ยมรวมทั้งเกินค่าตอบแทนอีกที ถือว่าการแสดงของเขาเป็นตัวหลักในกาทะนุถนอมหนังอีกทั้งหัวข้อนี้เอาไว้ได้อย่างยั่งยืน ยังเป็นแอคติ้งที่น่าประทับใจ แล้วก็เขาทราบว่าควรถ่ายทอดหน้าที่นี้ออกมายังไง ถึงแม้ว่าผลงานชิ้นนี้ของเขาจะยังไม่ใช่งานระดับมาสเตอร์พีชที่น่าจำได้ เมื่อเทียบกับผลงานก่อนๆของเขาเองก็ตาม แต่ว่าก็จัดได้ว่าเขาแสดงได้ดิบได้ดีในแบบที่จะต้องเป็น